Search

[คำต่อคำ] SONDHI TALK ตอนพิเศษ : จอร์จ ฟลอยด์ เอฟเฟกต์ ความรุนแรงกับคนผิวสีในอเมริกา - ผู้จัดการออนไลน์

biasa.prelol.com


“สนธิ”แฉเบื้องหลังยึดอำนาจใน พปชร.หลังสภาอนุมัติ พ.ร.ก. 3 ฉบับ เสือหิวหวังฮุบกระทรวงที่ได้อานิสงส์จากเม็ดเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน งานนี้วัดใจนายกฯ จะยอมตามแรงกดดันหรือไม่ เล่าความเป็นมากฎหมายความมั่นคงของจีน ฮ่องกงพยายามออก กม.นี้มานานหลังจากพ้นอาณานิคมอังกฤษ แต่ถูกฝ่ายนิยมตะวันตกขัดขวาง จนล่าสุดอ้างเรื่อง กม.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนก่อม็อบประท้วงต่อเนื่องโดยมีสายลับตะวันตกหนุนหลัง จีนจึงต้องออก กม.ความมั่นคงมาเองเพื่อจัดการให้เด็ดขาด ส่วนการชุมนุมต่อต้านการเหยียดผิวในสหรัฐฯ ปะทุเดือดขึ้นมา เพราะกรณี “จอร์จ ฟลอยด์”เป็นฟางเส้นท้าย เนื่องจากคนผิวดำถูกกระทำมานานต่อเนื่อง ย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ยิ่ง “โดนัลด์ ทรัมป์”ทำตัวเป็นหัวหน้าขบวนการเหยียดผิวเบอร์ 1 แทนที่จะแสดงความรับผิดชอบ ประกาศลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนผิวดำกับผิวขาว กลับขู่จะใช้ทหารปราบปรามผู้ชุมนุม แต่เชื่อว่าถึงสหรัฐฯ จะได้ ปธน.คนใหม่ ทุกอย่างจะไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่หากเป็น “โจ ไบเดน”อาจไม่ก้าวร้าว แต่ลึกๆ ยังเหยียดผิวเหมือนกัน
วันที่ 2 มิ.ย. เวลา 19.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และช่องยูทูป Sondhitalk เป็นตอนพิเศษ อเมริกันชนจะเป็นอย่างไรเมื่อ ทรัมป์ ขู่ส่งทหารปราบม็อบต้านเหยียดผิว ลุกลามกว่า 140 เมืองทั่วสหรัฐฯ หลัง “จอร์จ ฟลอยด์”ชายผิวดำผู้ต้องสงสัยคดีแบงก์ปลอม ถูกตำรวจใช้เข่ากดคอจนเสียชีวิต เเละเรื่องความเละของนักการเมืองเเละพรรคพลังประชารัฐ

คำต่อคำ SONDHI TALK [2 มิ.ย. 63] ตอนพิเศษ : ความรุนแรงกับคนผิวสีในอเมริกา #ICantBreath
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันที่ 2 มิถุนายน วันอังคาร ซึ่งมาก่อนกำหนด แล้ววันที่ 5 มิถุนายน ก็จะมีอีกรอบหนึ่ง วันนี้เป็นออเดิร์ฟ ส่วนวันที่ 5 วันศุกร์นั้น ก็จะเป็นอาหารหลักตามปกติ ที่วันนี้ต้องมาออกก็เพราะมันมีเรื่องราวอะไรบางอย่าง ซึ่งผมคิดว่าท่านผู้ชมหลายๆ ท่านที่อยู่ที่บ้าน ที่กำลังดูอยู่ขณะนี้ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือการจลาจลที่สหรัฐอเมริกา ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องพูดเสียหน่อย ไม่พูดไม่ได้ ผมเชื่อว่ามีนักวิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนพิธีกรในโทรทัศน์หลายช่องก็พยายามจะพูดเรื่องนี้ แต่ผมจะเอาป่าทั้งป่ามาอธิบายให้ฟัง
วันนี้ก็ขอเอาเรื่องถ้วยเสียหน่อย ถ้วย คราวที่แล้วสีขาว หมดไปแล้ว เราเพิ่งสั่งสีดำมา อย่างที่บอก 250 บาท ต้นทุน 100 บาท ค่าส่ง 50 บาท อีก 100 บาท เป็นกำไร ไม่ได้เอาไปไหน เอาไปลงกองทุนเพื่อไปทำบุญร่วมกัน
ท่านผู้ชมครับ วันนี้มี 2 เรื่อง เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือการจลาจลที่ฮ่องกง การออกกฎหมายความมั่นคงที่ประเทศจีนออกมาครอบฮ่องกง และการจลาจลที่สหรัฐอเมริกา สองเรื่อง เป็นคนละเรื่องเดียวกัน เกี่ยวข้องกัน
แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องนั้น ผมต้องเรียนท่านผู้ชมนิดหนึ่ง มีเรื่องหนึ่้งที่ผมเห็นข่าวเมื่อวานตอนเย็นแล้ว ผมมีความรู้สึกว่ามันรับไม่ได้จริงๆ ก็คือการแย่งอำนาจกันในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งผมเรียกว่าพรรคพลังประชาเละไปเรียบร้อยแล้ว ความจริงผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ แต่ผมกำลังจะสะท้อนให้ท่านผู้ชมเห็นว่าการเมืองเมืองไทยมันไม่เคยละทิ้งความเน่า และการเมืองเมืองไทยมันเป็นระบบฝนตกขี้หมูไหลคนจัญไรมาพบกันจริงๆ


ผมนึกไม่ถึงว่าพรรคพลังประชารัฐเมื่อวานนี้จะมีการยึดอำนาจกันอย่างหน้าตาเฉย เหมือนกับว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นบริษัทๆ หนึ่ง กลุ่มผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งเข้ามายึด แต่ถ้าในเชิงธุรกิจแล้ว ผู้ถือหุ้นไหนเข้ามายึดเพราะว่ามีหุ้นมากกว่า และคิดว่าจะทำให้บริษัทไปได้ ก็พอรับได้ แต่นี่เป็นเรื่องการเมือง อะไรที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าผมรับไม่ได้ก็คือว่า เมื่อสภาฯ มีมติผ่าน พ.ร.ก.การกู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ทันทีเลย มีทั้งกระสือ มีทั้งเสือหิว มีทั้งความกระหายที่จะเข้ามาครองอำนาจ เพื่อจะใช้งบที่เหลืออยู่ประมาณ 4 แสนล้าน


เหมือนกับว่าในขณะนี้หลายๆ คนที่กำลังมายึดอำนาจ บางคนอยู่ในกระทรวงที่ไม่ได้รับอานิสงส์จากการที่ได้งบประมาณในการไปฟื้นฟูเศรษฐกิจ บางคนก็ต้องการที่จะเข้ามามีอำนาจในกระทรวงนี้ เพื่อที่จะ "ทำมาหากิน" เอาผลประโยชน์จากงบต่างๆ เหล่านี้ เอาไปแล้วกินส่วนต่าง เชื่อผมครับ คนพวกนี้น่ากลัวมาก ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อใครทั้งสิ้น แต่ท่านผู้ชมคงรู้ว่าใครเป็นใคร ถามว่าท่านผู้ชมรับได้ไหม


ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านนายกฯ เหาะลงมาจากข้างบน แล้วก็มาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะว่าทุกๆ พรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้ไม่มีทางเลือก หาตัวคนซึ่งมีคุณสมบัติ หรือหาตัวคนที่คนจะนิยมชมชอบ หาไม่ได้ ทุกคนก็เลยต้องรวมตัวกันมา มีทั้งก๊ก มีก๊กสามมิตร สมัยก่อนก๊กสามมิตรก็คือ สมคิด สุริยะ สมศักดิ์ ตอนนี้ก็กลายเป็นเหลือสองมิตรแล้ว เพราะว่าทางสมศักดิ์ กับสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เทไปเพื่อจะยึดอำนาจในเรื่องนี้ แล้วก็พูดถึงว่าจะต้องเตะสี่กุมาร สี่ท่าน มีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มีอุตตม มีสุวิทย์ เมษินทรีย์ แล้วก็มีสนธิรัตน์ ที่อยู่กระทรวงพลังงาน ออกไป แล้วเอาคนของตัวเข้ามาเสียบ เขาเรียกว่าเปลี่ยนม้ากลางศึก


เอาล่ะ มีสิทธิทำกันได้ แต่ผมคิดว่าวิธีการและจังหวะที่เข้ามา มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า นักการเมืองเมืองไทย สันดานความเลวมันอยู่ในดีเอ็นเอจริงๆ แย่งกันมีอำนาจ หลายคนนั่งอยู่กระทรวงหนึ่ง ก็อยากจะปรับเปลี่ยนที่ไปนั่งกระทรวงที่ใหญ่กว่า ที่มีผลประโยชน์ เอาเฉพาะกระทรวงพลังงาน แย่งกันตอนนี้ ระหว่างทางคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แล้วก็ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ สองคนนี้เขาอยากจะนั่งกระทรวงพลังงาน ทำไมอยากจะนั่งกันเหลือเกิน เพราะว่ามันมีเงินทองเยอะแยะมากมายไปหมด โดยที่ลืมนึกไปว่า กระทรวงพลังงานขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องดูและประชาชนในเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าเรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ว่ามันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะการเมืองเมืองไทยมันก็เป็นของมันอย่างนี้ อดีตก็เป็นอย่างนี้ ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ และอนาคตมันก็เป็นอย่างนี้
ผมคิดว่าน่าจะดูใจของท่านนายกรัฐมนตรีมากกว่า ท่านเพิ่งจะเสร็จศึกโควิด-19 ไป ซึ่งผมก็ยังคิดว่ายังไม่ได้เสร็จศึก 100 เปอร์เซ็นต์ นะ สัก 80-90 เปอร์เซ็นต์ ชื่อเสียงท่านดีมากในการที่ปราบปรามโควิด-19 ได้อย่างค่อนข้างจะเด็ดขาด ตอนนี้เรามีผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเป็นหลักสิบ ยี่สิบกว่าคนเท่านั้นเอง จากแต่ก่อนที่มีหลายร้อยคน แล้วผู้ป่วยใหม่ก็แทบจะไม่มีเลย สิ่งที่รัฐบาลได้ทำไปขณะนี้ก็ดีอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถ วุฒิภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
มาดูครั้งนี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงตัวอย่างไร จะแสดงวุฒิภาวะผู้นำอย่างไร ถ้าท่านตัดสินใจปรับ ครม.ตามความกดดัน นั่นก็เป็นเรื่องที่ท่านต้องรับไปเองก็แล้วกัน ผมไม่มีความเห็นอะไร ผมมีความเห็นอยู่อย่างเดียวก็คือ เมื่อไรความเน่าของการเมืองในลักษณะนี้ ซึ่งแต่ละคนซึ่งมายึดอำนาจไป อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย แค่นี้ผมก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ถ้าเอ่ยชื่อผมคงต้องใส่หน้ากาก แล้วก็สงสัยจะต้องใส่หน้ากากดับกลิ่น เพราะกลิ่นมันเหม็นเหลือเกิน มันเหม็นฉาวโฉ่ไปหมดเลย แต่ละคนพวกนี้ไม่เคยมีอุดมการณ์เพื่อประชาชน ไม่เคยมีอุดมการณ์ในเรื่องความถูกต้อง มีอุดมการณ์อย่างเดียวว่าขอให้ได้มีอำนาจ เมื่อมีอำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้ก็จะระดมพรรคพวกกันมา


ท่านผู้ชมจำได้ไหม 2 วันที่แล้ว หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดข่าวว่ามี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ พูดในที่ประชุม ส.ส.พรรค ในกลุ่มของเขา ว่าเมื่อปรับ ครม.แล้ว เขามีอำนาจแล้ว เขาจะจัดเงินแจก ส.ส.ในพวกของเขาคนละ 80 ล้านบาท ท่านผู้ชม 2 ตัวนี้มันบ้าไปหรือเปล่า มันบ้าหรือบัดซบหรือเปล่า เงิน 80 ล้านบาท ก็เงินที่เอามาจากงบที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน ผมถามว่าเป็นเงินพ่อเงินแม่คุณหรือเปล่า เป็นเงินภาษีอากรของพวกเรา เป็นเงินประชาชน เป็นเงินซึ่งจะต้องลงไปให้กับคน แล้วมันพูดอย่างนี้ออกมา มีหลักฐานแน่ แต่ผมขี้เกียจจะเอ่ยชื่อ มีหลักฐานแน่ พูดออกมาได้อย่างไร แล้วสองคนนี้ที่มีพฤติกรรมที่ระยำตำบอนนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของคณะที่ไปยึดอำนาจพรรคพลังประชารัฐ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่ามันสุดๆ แล้ว ไม่รู้จะพูดอย่างไร ความเลวทุกอย่างเรียกว่าพี่ เพราะฉะนั้นให้ท่านผู้ชมรับทราบไว้ด้วยว่าบ้านเมืองเมืองไทยมันมีคนประเภทนี้อีกเยอะ แล้วคนประเภทนี้มันซื้อสิทธิ์ซื้อเสียง จ่ายเงินชาวบ้านเขาเพื่อเข้ามาเป็น ส.ส. คนหนึ่งก็จะไปกว้านซื้อ ส.ส.เข้ามา แล้วแอบไปตั้งก๊กของตัวเองไว้ข้างนอกก่อน แล้วพอคนเขามาตั้งพรรคพลังประชารัฐ ระดมคนหลายคนที่เขาเห็นว่าถ้าชูบิ๊กตู่ขึ้นมาเป็นนายกฯ แล้ว โอกาสที่จะเป็นพรรคนำ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมีสูงมาก ทุกคน ร้อยพ่อพันแม่ก็มารวมตัวกันอยู่ในพรรคนี้ พอมารวมตัวเสร็จ พรรคที่แยกออกไปถึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเข้ามาร่วม ก็เลยเสนอตัวเข้ามาร่วม เผอิญในช่วงนั้นคะแนนเสียงของพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล มันปริ่มๆ น้ำ เพราะฉะนั้นการได้เสียงข้างนอกกลุ่มนี้เข้ามา ก็เลยทำให้หายใจคล่องขึ้นสักนิด แต่ก็อีกล่ะ ด้วยการที่เสียงปริ่มน้ำ ก็เลยจำเป็นจะต้องเจรจากัน บางคนเข้ามาไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย เรียกร้องว่าตัวเองต้องนั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกคนก็เรียกร้องว่าตัวเองต้องนั่งกระทรวงพลังงาน ทุบโต๊ะหมด จนในที่สุดท่านนายกฯ ต้องจัดการด้วยความเด็ดขาด ก็เลยสงบเงียบไปพักหนึ่ง
พอสงบเงียบไปพักหนึ่งแล้ว พอเห็นว่ามีงบ 1.9 ล้านล้านบาท คราวนี้ล่ะ เริ่มอาละวาดกันแล้ว เพราะว่าเงินมันอยู่ตรงนั้น ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ถ้าท่านผู้ชมเห็นด้วย ช่วยกระจายเล่าให้พรรคพวกฟังหน่อยว่าตอนนี้พรรคพลังประชารัฐมีบางส่วนที่เขาเรียกว่าฝนตกขี้หมูไหลคนจัญไรมาพบกัน
ก่อนที่ผมจะไปพูดเรื่องการจลาจลที่สหรัฐอเมริกา ผมขอพูดถึงเรื่องฮ่องกงนิดหนึ่ง เพราะว่ามันเป็น 2 เรื่องเดียวกัน ฮ่องกงนั้นมันมีข้อมูลอะไรบางอย่างที่ท่านผู้ชมหลายๆ ท่านอาจจะไม่เข้าใจ


ในการที่รับมอบเกาะฮ่องกงมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งยึดครองไป 99 ปี ในสัญญาอัปยศในยุคล่าอาณานิคมนั้น ทางประเทศจีนกับอังกฤษได้มีการตกลงกันว่า จริงอยู่ ให้คนฮ่องกงปกครองตัวเอง มีสภาของตัวเอง ร่างกฎหมายด้วยตัวเอง แต่เผอิญในข้อตกลงนั้นมันมีมาตรา 23 ระบุชัดเจนว่าฮ่องกงต้องร่างกฎหมายความมั่นคง เพราะจีนเขาถือว่าฮ่องกงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนแล้ว จะไม่มีกฎหมายความมั่นคงไม่ได้ ก็ปรากฏว่าในรอบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ฮ่องกงหลุดพ้นออกจากมือของอังกฤษ แล้วมาอยู่ในมือของประเทศจีน ตั้งแต่เดือนกฎาคม พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) เป็นต้นมา ได้มีความพยายามร่างกฎหมายมาตรา 23 ให้เป็นกฎหมายความมั่นคง แต่ถูกขัดขวางตลอดเวลา ถูกขัดขวาง เหตุผลก็เพราะว่าคนในฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่นิยมตะวันตก อย่างเช่น นายโจชัว หว่อง ส.ส.ฝ่ายประชาธิปไตย ก็คือนายมาร์ติน ลี และเจ้าของหนังสือพิมพ์แอปเปิล ชื่อนายจิมมี ไล คนพวกนี้ก็ระดมพลพรรคต่อต้าน เพราะกลัวว่าถ้าร่างกฎหมายความมั่นคงออกมาแล้ว โทษฐานของตัวเอง ในฐานะที่ตัวเอง ลึกๆ พวกนี้อยากจะแบ่งแยกเกาะฮ่องกงออกจากประเทศจีน ก็คือพูดง่ายๆ ว่า หาทางที่จะทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ฮ่องกงไม่ต้องขึ้นอยู่กับประเทศจีน ต่อสู้ในประเด็นนี้ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้ คราวที่แล้วผมพูดว่าในฮ่องกงนั้นมันเป็นศูนย์รวมของสายลับจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น MI5, MI6 ของอังกฤษ ของฝรั่งเศส ของเยอรมนี CIA ของอเมริกา สายลับจากจีน สายลับจากไต้หวัน มีรวมอยู่ในฮ่องกงหมดเลย


เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อทุกอย่างยังเป็นสัมพันธภาพที่ดี ทุกอย่างก็ดูไปได้ดี แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่ประเทศจีนเริ่มทะเลาะกับอเมริกา ซึ่งที่เริ่มทะเลาะกับอเมริกาผมเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง คร่าวๆ ว่าอเมริกาทนไม่ไหวที่ตอนนี้จีนกำลังพัฒนาตัวเอง ใกล้ที่จะหายใจรดต้นคอของอเมริกา และในที่สุดก็จะแซงอเมริกาไป นี่คือการยอมรับไม่ได้ของอเมริกา การยอมรับไม่ได้จริงๆ เพราะอเมริกาถือว่าตัวเองอันดับ 1 มาตลอด อเมริกาจะไม่ยอมให้ใครมาแซงหน้า เพราะอเมริกาต้องการที่จะครอบงำโลก แล้วจีนต้องเป็นคนที่อยู่ในโอวาท อเมริกาจะเอาอย่างนี้ จีนก็ต้องเอาอย่างนี้ ความคิดนี้มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมีกับนายทรัมป์ มีมาตั้งแต่ยุคสมัยที่จีนเริ่มเปิดประเทศ ตอนนั้นจีนยังอ่อนแออยู่ อเมริกาเห็นว่าจีนอ่อนแอ ก็มองว่าจีนคงทำอะไรไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้เจริญเติบโต แต่เผอิญจีนได้สร้างปาฏิหาริย์ในการเจริญเติบโตก้าวหน้าต่อไปอย่างมากมาย
จนกระทั่งในวันหนึ่งจีนก็เลยเดินเข้ามาแล้วก็ประกาศให้โลกรู้ว่าจีนพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี แล้วตัวการสำคัญ ซึ่งสำคัญที่สุดที่ไม่เคยมีใครพูดมา ก็คือระบบ 5G ของหัวเว่ย (HUAWEI) คือตัวเปลี่ยนแปลงโลก เป็นตัวเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศ และจะทำให้ประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน เมื่อใช้ระบบหัวเว่ยแล้ว ประเทศจีนจะก้าวกระโดดไกลไปอีกหลายก้าว มากกว่าสมัยนี้ซึ่งไปแค่ก้าวเดียว ซึ่งเรื่องนี้ผมจะพูดในวันศุกร์นี้ อีก 2-3 วันท่านผู้ชมจะได้ฟังว่าทำไม เอ๊ะ มันก็ระบบโทรศัพท์มือถือนี่ล่ะ หัวเว่ย 5G ทำไมมันมีอิทธิพลมากนัก ทำไมอเมริกาถึงออกมาประณาม ออกมาต่อต้าน ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้หัวเว่ยเกิดขึ้นมา เบื้องหลังมันมีอะไรกันแน่ มันมีอะไรกันแน่ 5G หัวเว่ย มันเป็นคำสั่งของสวรรค์มาหรืออย่างไร หรือมันเป็นบงการของนรกขึ้นมา เพื่อให้ 5G เป็นตัวที่ทำลายอเมริกา เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังในวันศุกร์นี้


เดี๋ยวผมจะพูดเรื่องต่อไปให้ครบ ศุกร์นี้่จะพูดเรื่อง 5G หัวเว่ย อีกศุกร์หนึ่งผมจะพูดเรื่องสหรัฐอเมริกาอย่างละเอียด ท่านผู้ชมทั้งที่เป็นติ่งอเมริกา ทั้งที่ไม่ชอบอเมริกา ฟังให้ดีๆ เพราะผมพูดจากหลักฐานข้อเท็จจริง และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แล้วทุกคนจะเห็นว่าที่อเมริกาเป็นอย่างนี้เพราะอะไร มันดำเนินมาอย่างไร แต่วันนี้เรื่องจลาจลอเมริกาก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังในเรื่องอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า พอพ้นอาทิตย์ที่จะพูดเรื่องอเมริกา ผมก็จะพูดอีกศุกร์หนึ่ง เรื่องของจีนบ้างล่ะ เมื่อผมพูดเรื่องอเมริกาเต็มที่ ผมก็จะพูดถึงเรื่องจีนเต็มที่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องฮ่องกง มันเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ข้อแรก จีนยอมรับไม่ได้ เพราะฮ่องกงเหมือนลูกที่ถูกฉกตัวออกไปจากอ้อมอกพ่อแม่ โดยสนธิสัญญาอัปยศให้เช่า 99 ปี ของอังกฤษ เมื่อถึงเวลาที่จีนได้คืนมาแล้ว จำได้ไหมผมเคยพูด ว่าเมื่อใกล้ที่จะหมด 99 ปีแล้ว มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ไปเยือนปักกิ่ง เพื่อไปเจรจา มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ยังไม่พอใจ ยังพยายามพูดว่าจะมีโอกาสไหมที่จีนจะให้เช่าฮ่องกงต่อในราคาเท่าไรก็บอกมา แล้วก็ตื๊อถามเรื่องนี้


จนกระทั่งเติ้ง เสี่ยวผิง โกรธ ก็พูดกับล่าม บอกล่ามให้แปลตรงตัว คือแปลว่า ช่วยบอกอีห่านี่ (พูดถึงมาร์กาเร็ต แทตเชอร์) บอกให้หยุดพูดเรื่องให้เช่าฮ่องกงต่อได้ไหม ล่ามก็อึกอักๆ ไม่กล้าพูด เติ้ง เสี่ยวผิง ก็เลยบอกล่ามว่า บอกไป พูดตามที่ฉันพูดเป๊ะๆ พอพูดออกไป มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ขาอ่อน และนี่คือเหตุผลที่มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ สะดุดพรมและหกล้มที่หน้าศาลามหาประชาชน ทำไมผมรู้เรื่องนี้ เพราะล่ามที่แปลนั้นเป็นพ่อของเพื่อนผม เขาเล่าให้ลูกชายฟัง แล้วลูกชายก็มาเล่าให้ผมฟัง


ทีนี้ พอจีนเห็นว่าฮ่องกงไม่ยอมร่างกฎหมายความมั่นคงขึ้นมา พวกผู้ประท้วง พวกต้องการแยกฮ่องกงออกจากจีน โดยการสนับสนุนของทางตะวันตก อเมริกา อังกฤษ และไต้หวัน คนพวกนี้ก็เลยประท้วง ประท้วงเรื่องเล็กๆ เรื่องเดียว เรื่องเล็กๆ เรื่องนั้นก็คือเรื่องที่นางแคร์รี แลม กำลังเสนอร่างกฎหมายในการที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพราะตอนนั้นมีคนฮ่องกงคนหนึ่งไปอยู่ไต้หวัน ไปมีเมีย แล้วก็ฆ่าเมียหมกศพเอาไว้ในห้อง แล้วหนีกลับมาที่ฮ่องกง ไต้หวันเรียกตัวขอให้ทางการฮ่องกงส่งหมอนี่กลับไป ก็ปรากฏว่าไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แคร์รี แลม ก็เลยคิดที่จะร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา เพราะบรรดาผู้คนต่างๆ ที่ต่อต้านจีน ก็มองว่าถ้าอย่างนั้นแล้ว อีกหน่อยถ้ามีคดีอะไร จีนก็มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไป


ท่านผู้ชมครับ เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหมายความว่า คนๆ นั้นต้องไปทำอะไรที่ผิดในประเทศจีน แล้วหนีมาที่ฮ่องกง จู่ๆ ฮ่องกง ใครที่อยู่ฮ่องกงแล้วไม่ได้ไปประเทศจีน จู่ๆ เขาจะมาจับตัว เหตุเกิดที่ฮ่องกง ความผิดเกิดที่ฮ่องกง แล้วเขาจับคนที่ฮ่องกงแล้วไปส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้จีนนั้น เป็นไปไม่ได้ แต่ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าจีนก็ไม่ทำ จีนก็ทำเหมือนกัน จีนก็แอบอุ้ม มีคนที่คอร์รัปชันแล้วหนีมาที่ฮ่องกง มีคนที่เป็นศัตรูของจีนในแง่ความมั่นคง ก็หนีมาอยู่ฮ่องกง จีนก็ใช้วิธีอุ้ม เพราะว่ากฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนมี เขาก็เลยอุ้มแล้วเขาก็ใส่เรือ ใส่เครื่องบินกลับไปที่จีน นั่นก็เป็นวิธีการแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา


เอาล่ะ เมื่อเขาประท้วงหนักเลยในเรื่องกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ไม่เอา ก็ปรากฏว่าคนออกมาหลายแสนคน เยอะแยะไปหมด เต็มฮ่องกง ตามที่ท่านผู้ชมได้เห็นในภาพ แต่ปรากฏว่า พอเรื่องพวกนี้เริ่มสงบไปแล้ว เรื่องของส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าคนที่ประท้วงเริ่มชูธงอังกฤษ เริ่มชูธงอเมริกา คือพวกคนจีนในฮ่องกงไปคิดว่าอังกฤษและอเมริกาเป็นพ่อของตัวเอง เพราะฉะนั้นแล้ว อยากจะให้อังกฤษและอเมริกามาช่วยปลดปล่อยคนฮ่องกงในเกาะฮ่องกง


จำตรงนี้ไว้ดีๆ นะ เพราะว่าเดี๋ยวผมจะพูดเรื่องอเมริกาให้ดู ว่าประเทศอเมริกาที่มันฆ่าคนของมันเองอย่างเลือดเย็น คนหนุ่มคนสาวที่ฮ่องกงเรียกร้องให้พวกนี้มาปลดปล่อยพวกเขาไป โดยที่ไม่รู้ไม่ชี้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าอะไรเกิดขึ้น
ทีนี้พอเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา จีนเริ่มทนไม่ไหวแล้ว และจีนเห็นแล้วว่ากระแสการแยกฮ่องกงออกจากจีนยิ่งวันยิ่งแรง และที่สำคัญก็คือว่า สายลับต่างๆ การแทรกแซงต่างๆ กลุ่ม NGO ที่มาอยู่ในฮ่องกง ไม่ว่าจะเป็น Human Rights Watch ท่านผู้ชม Human Rights Watch นี่คือเครื่องมือของตะวันตกในการมารุกประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประเทศของตัวเอง


ท่านผู้ชมครับ จลาจลที่อเมริกาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม เกิดขึ้น 50 มลรัฐ ทุกมลรัฐมีหมด 141 เมือง ผมหายใจไม่ออก I can't breathe คือแฮชแท็กที่ดังที่สุดของนายจอร์จ ฟลอยด์ คำถามมีว่า ตำรวจฆ่านายจอร์จ ฟลอยด์ โดยที่จะจงใจหรือไม่จงใจ ไม่รู้ แล้วก็มีคนมาประท้วง แล้วตำรวจก็ปราบปราม ปราบปรามผู้ที่เดินอยู่ แล้วเอาทหารเข้ามา ปรากฏว่า ท่านผู้ชม เคยมีสักครั้งไหม Human Rights Watch ที่เที่ยวมาชี้หน้าคนโน้นชี้หน้าประเทศนี้ให้ระวังสิทธิมนุษยชนนะ ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเพื่อแก้โควิด-19 ออกมาเตือนว่าอย่าละเมิดสิทธินะ ก็ประเทศของคุณรังแกคนชาติเดียวกัน ทำไมไม่พูดสักแอะเลย


แล้ว Human Rights Watch ที่เป็นสาขาเมืองไทย แล้วที่คนไทยรับใช้ฝรั่งอยู่ คุณอายบ้างหรือเปล่าว่าพ่อคุณซึ่งเป็นเจ้าของ Human Rights Watch อยู่ที่อเมริกา วอชิงตัน ดี.ซี. มีเงินจากที่ไหนไม่รู้มาสนับสนุน แล้วก็มาสนับสนุนให้คุณไปเที่ยวป่วนประเทศต่างๆ แต่ในประเทศของคุณเองที่คุณควรออกมาร้องเรียนทรัมป์ ออกมาร้องเรียนนายกเทศมนตรี ออกมาร้องเรียนผู้ว่าของมินเนโซตา ว่าคุณทำอย่างนี้กับนายจอร์จ ฟลอยด์ ไม่ถูกต้องนะ ไม่มีเลย สักแอะก็ไม่มี ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ถ้าท่านผู้ชมหมั่นสังเกตให้ดีๆ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัด แล้วเดี๋ยวผมจะพูดต่อ


ทีนี้ พอมีเรื่องมีราวแล้ว บรรดานักประท้วงและที่ไม่เห็นด้วย และพยายามที่จะแยกฮ่องงกงออก มันก็ถูกตำรวจจับ ท่านผู้ชมครับ เปรียบเทียบให้ดีๆ ท่านผู้ชมดูแล้วกัน ในคลิป ตำรวจฮ่องกงกันผู้ประท้วงอย่างสุภาพเรียบร้อย ผมต้องพูดนะ อย่างสุภาพเรียบร้อย เมื่อเปรียบเทียบกับคลิปต่างๆ ที่ท่านผู้ชมเห็นในอเมริกา ตำรวจมันกระทืบผู้ประท้วง มันเอาสเปรย์ฉีดใส่หน้าผู้ประท้วง เสร็จเรียบร้อยแล้วมันลาก มันจับใส่กุญแจมือ แล้วเวลาจับใส่กุญแจมือมันเอาเข่ากดไปที่หลัง ผมยังไม่เห็นภาพนี้ในฮ่องกงเลย มีแต่ผู้ประท้วงทำร้ายตำรวจที่ฮ่องกง เพราะฉะนั้นจะเห็นข้อแตกต่างได้ชัด พวกที่ประท้วงที่ฮ่องกงมันควรที่จะไปอยู่ที่อเมริกา ไปอยู่ประเทศพ่อประเทศแม่มัน มันชอบนักหรือ หรือแม้กระทั่งใครบางคนที่อยู่ในเมืองไทยที่เชียร์อเมริกา บินไปอเมริกาเพื่อไปเจอบิดามารดาของมันที่อเมริกา เพื่อไปขอออกความเห็นว่ามาช่วยปลดปล่อยคนไทยหน่อยจากอำนาจเผด็จการ ผมอยากให้พวกนี้ไปอเมริกาเหมือนกัน
ทีนี้พวกนี้พอโดนจับ ขึ้นศาล พอขึ้นศาลแล้วก็โดนโทษ 1 ปีบ้าง 2 ปีบ้าง 3 ปีบ้าง เพราะว่ากฎหมายฮ่องกงมันไม่มีกฎหมายในเรื่องความมั่นคง มันมีกฎหมายในเรื่องของการก่อความไม่สงบ ก่อความวุ่นวาย กฎหมายของการวางเพลิง ไม่ใช่กฎหมายความมั่นคง เพราะว่ากฎหมายความมั่นคงโทษมันแรง โทษแรกข้อแรก คือประหารชีวิต สอง ติดคุกตลอดชีวิต สาม อย่างน้อยที่สุดต้องมี 20-30 ปี เพราะฉะนั้นจีนก็เลยมองว่า ไม่ได้นะ ถ้าขืนปล่อยอย่างนี้ต่อไป เหตุการณ์มันจะรุนแรง มันจะพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุดต่างประเทศก็จะมาแทรกแซง ด้วยเหตุนี้ สี จิ้นผิง กับสภาประชาชน ถึงตัดสินใจที่จะร่างกฎหมายความมั่นคงของฮ่องกง ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของพื้นที่


และนี่คือการประท้วง เพราะว่าพวกที่อยู่ในฮ่องกง ไม่ว่าจะโจชัว หว่อง ไม่ว่าจะเป็นมาร์ติน ลี ไม่ว่าจะเป็นจิมมี ไล พวกแกนนำทั้งหลาย เริ่มรู้แล้วว่าถ้ากฎหมายนี้เริ่มใช้การปั๊บ เมื่อกฎหมายร่างเสร็จ จีนก็ส่งทีมงานทางความมั่นคง คุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ คุณจะเรียกมันว่าสันติบาลก็ได้ คุณจะเรียกมันว่าดีเอสไอก็ได้ คุณจะเรียกมันว่าเอฟบีไอจีนก็ได้ มาประจำที่จีน และตำรวจฮ่องกงจะต้องรายงานกับคณะนี้ ถามว่าค่อนข้างเผด็จการไหม เผด็จการ ผมยอมรับ แต่ว่าจีนไม่มีทางเลือก เพราะฮ่องกงไม่ยอมร่างกฎหมายความมั่นคง เมื่อจีนร่างเองแล้ว ก็หมายความว่าจากนี้ไป ที่เดินขบวนประท้วงอยู่นี่ จีนเขามีสิทธิ์จะเรียกำลังทหารเข้ามาแล้วจับพวกนี้ แล้วก็ขึ้นศาล แล้วกฎหมายความมั่นคง ผู้พิพากาาเวลาพิพากษา จะไม่พิพากษาด้วยความเห็นใจ แต่จะพิพากษาตามตัวบทกฎหมาย เมื่อการกระทำของคุณเป็นเช่นนี้ ส่อเจตนา 1..2..3.. แล้วผิดข้อบังคับในกฎหมายความมั่นคงแล้ว คุณต้องติดคุก คุณต้องติด 10 ปี 20 ปี 30 ปี และเมื่อมีหลักฐานการโอนเงิน การฟอกเงิน การผ่องเงินจากบรรดานักธุรกิจใหญ่ๆ ว่ากันว่า ลีกาชิง ก็แอบสนับสนุนบรรดาผู้ประท้วงพวกนี้ แต่พอตอนหลังเห็นจีนร่างกฎหมายความมั่นคงออกมา ลีกาชิงก็เปลี่ยนสี ท่านผู้ชมครับ นักธุรกิจจะเปลี่ยนสีตลอดเวลาตามผลประโยชน์ที่ตัวเองได้


ด้วยเหตุนี้ อเมริกาทนไม่ได้ อังกฤษทนไม่ได้ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าในโลกนี้มี 5 ประเทศ ที่เขาเรียกว่ากลุ่ม 5 ตา (5 EYES) ก็คือ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อังกฤษ อเมริกา และแคนาดา คือกลุ่มประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า 5 EYES ก็เลยปรากฏว่าอังกฤษก็เลยทำเท่ อังกฤษก็บอกว่า เดิมทีก่อนที่ฮ่องกง จีนจะมาเอาคืนไป จะมีคนฮ่องกงประเภทหนึ่งที่อังกฤษเขาเปิดให้ลงทะเบียน ว่าต้องการที่จะถือพาสปอร์ตที่เรียกว่า British National Overseas ก็คือเป็นคนอังกฤษแต่อยู่ต่างประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่าไปพำนักที่อังกฤษได้ฟรี แต่ใช้พาสปอร์ตพิเศษนี้เดินทางไปอังกฤษ และสามารถไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้ถึง 6 เดือน ตอนนี้เขาต่อให้แล้ว อยู่ได้ 1-2 ปี 3 แสนคน อังกฤษเริ่มพูดแล้ว จะขยายให้เป็น 3 แสนคน ซึ่งในทางลึกๆ แล้วจีนเขาไม่ได้แคร์หรอก คุณขยายไปอีก 1 ล้านคนก็ได้ 2 ล้านคนก็ได้ จีนก็บอกว่าพวกคุณอยากไปอยู่อังกฤษ ไปเลย ไปให้พ้น ไปทั้งเกาะฮ่องกงเขาก็ไม่แคร์ เพราะว่าจีนเขามีคนอยู่ 1,400 ล้านคน เอาแค่เซินเจิ้น กวางตุ้ง ที่อยู่ติดกับฮ่องกง ถ้าเขาไปหมด พวกนี้ทะลักเข้ามา ก็มาแทนที่คนฮ่องกง เพราะฉะนั้นแล้ว จีนไม่ได้กลัวเรื่องนี้
อเมริกาก็เลยใช้การค้า ถอนสิทธิความเป็นสิทธิพิเศษของเกาะฮ่องกง จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว ใครก็ตามทำธุรกิจที่ฮ่องกงแล้วจะไปต่อยอดที่อเมริกา ถ้ากฎหมายนี้ออกมา สิทธิพิเศษนี้หมดไป ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้สิทธิพิเศษ ซึ่งทางจีน เพื่อแผ่นดินของเขา เขายอมเจ็บตัว และเขาก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรมากมายนัก นี่คือเบื้องหลังทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น
แล้วระหว่างที่นายทรัมป์กำลังด่าจีน กำลังเล่นงานเรื่องฮ่องกง เรื่องโน้นเรื่องนี้ เต็มที่ ในวันที่ 26 พฤษภาคม ก็มีคนที่หายใจไม่ออกคนหนึ่ง ชื่อ จอร์จ ฟลอยด์


จอร์จ ฟลอยด์ อดีตเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล เคยทำผิดในเรื่องของอาชญากรรมอะไรบางอย่าง และจำคุกอยู่ 5 ปี แล้วออกมา แล้วตอนหลังก็ไปเป็นการ์ด ประจำอยู่ที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง คนๆ นี้โดนตำรวจเขาแจ้งข้อกล่าวหาว่านายจอร์จ ฟลอยด์ เป็นคนที่เอาแบงก์ดอลลาร์ใบละ 20 ปลอม มาใช้ ตำรวจก็มาทันทีเลย พอมาแล้วก็กดนายจอร์จ ฟลอยด์ อย่างที่เห็นในรูป เอาเข่ากดลงไป นายจอร์จ ฟลอยด์ ก็บอกว่า I can't breathe ผมหายใจไม่ออก ตำรวจก็ไม่ฟังเสียง กดนานมากจนกระทั่งนายจอร์จ ฟลอยด์ สลบไสลและสิ้นใจไปในที่สุด


การกดแบบนี้ไม่ใช่เป็นการกดครั้งแรก เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ก็มีการกดแบบนี้เช่นกัน เป็นการกดที่เกิดขึ้นที่เมืองนิวยอร์ก การกดแบบนี้ก็คือมีคนๆ หนึ่งที่เป็นคนทำงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก แล้วก็โดนตำรวจที่มหานครนิวยอร์กจับ ข้อหาขายบุหรี่ที่ไม่เสียภาษี ตำรวจก็ไปทุ่มตัวเองล็อกคอไอ้หมอนี่ พอล็อกคอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏว่าหมอนี่บอกว่า หายใจไม่ออก I can't breathe เหมือนกัน ตำรวจก็ไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งมันตาย พอมันตายแล้ว รัฐบาลก็ไม่ทำอะไร รัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่ได้ทำอะไร เมืองนิวยอร์กก็ไม่ได้ทำอะไร จนกระทั่งครอบครัวคนตายไปฟ้องศาลเรียกร้องค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้เทศบาลเมืองนิวยอร์กต้องจ่ายค่าชดเชยให้ครอบครัวของคนที่ตาย 5.9 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วหลังจากนั้นตำรวจที่ทำให้คนตายก็หลุด ก็ยังทำงานอยู่ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนเอาคลิปที่ตำรวจคนนี้ไปล็อกคอจนคนตาย ออกให้คนดู มันก็ go viral เลย พอ go viral แล้ว ปรากฏว่าคนก็เลยเริ่มโวยวาย คนดำคนนั้นชื่อเอริก การ์เนอร์ ในปี 2557 หกปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ถูกกดดันในสังคม ในที่สุดห้าปีให้หลัง เขาถึงไล่ตำรวจคนนี้ออกจากงานและดำเนินคดี


อีกกรณีหนึ่ง ที่ Central Park ที่มหานครนิวยอร์ก มีสวนสาธารณะกลางสวนหนึ่ง เรียกว่า Central Park สวนนี้คนเข้ามาเดินเล่น มันใหญ่มาก มีมุมๆ หนึ่งซึ่งสมาคมส่องนกเขาได้รับมอบหมายว่า ถ้าส่องนกให้ดูมุมนี้ มุมนี้จะมีนกมาเกาะเต็มไปหมดเลย ปรากฏว่าอยู่ดีๆ วันที่ 25 พฤษภาคม ผู้หญิงคนหนึ่ง ผิวขาว เอมมี่ คูเปอร์ อายุ 41 ปี หรือสมัยนี้ถ้าอยู่เมืองไทย เราจะเรียกว่ามนุษย์ป้า เรียนดีด้วย จบปริญญาโททางด้านการเงินที่ University of Chicago เป็นรองประธาน คือ Vice President หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของบริษัทลงทุนชื่อ Franklin Templeton เธอจูงหมาไป แล้วเธอก็ปล่อยหมาในพื้นที่ๆ เขาห้ามปล่อยหมา เพราะว่าหมาจะไปรบกวนนก นกจะตกใจบินหนีหมด สมาคมส่องนกก็จะไม่สามารถส่องได้ เขาถึงติดป้ายและมีกติกาว่าห้ามจูงหมาเข้าไปในนี้


ปรากฏว่าระหว่างที่หมาของคนนี้เข้าไปก่อกวน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา เขาชื่อคริสเตียน เดินออกมาบอกว่า คุณห้ามจูงหมาเข้ามาในนี้นะ เพราะตรงนี้เป็นเขตหวงห้าม ไม่ให้พาหมาเข้ามา เพราะเป็นของพวกสมาคมนักส่องนก เขาใช้อยู่ ปรากฏว่าเอมมี่เห็นว่าเป็นคนผิวดำ เอมมี่ก็เลยขู่ทันทีเลยว่าเดี๋ยวจะแจ้งตำรวจนะ ว่าฉันกำลังโดนคนผิวดำ American-African ข่มขู่อยู่ เผอิญนายคริสเตียนเขาก็ถ่ายวิดีโอคลิปตลอด แล้วเธอก็ไปด่านายคริสเตียน


เสร็จเรียบร้อยแล้วนายคริสเตียนก็เอาวิดีโอคลิปนี้ออกเป็น viral ไป คนก็ออกมาเอมมี่เละเทะหมด เอมมี่ก็ถูกบริษัท Franklin Templeton ไล่ออก แล้วก็เผอิญเขาก็ไม่รู้ว่านายคริสเตียนคนนี้ นอกจากจะรักในการดูนกแล้ว เขายังเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก เขาเคยเขียนเรื่องราวต่างๆ ให้การ์ตูนมาร์เวล คอมิกส์หลายตอน ไม่ว่าจะเป็น X-Men, Star Trek เขาเป็นคนสร้างละคร สร้างตัวเพศทางเลือก เพราะว่าเขาเป็นเกย์ เอาล่ะ นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ แต่ว่ามันยังมีอีกมากมาย ความรุนแรงที่เกิดขึ้น


ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มีคนผิวขาวปิดเมือง ไล่ฆ่าคนผิวดำ ตายไปหลักร้อย แล้วก็ทุกๆ ครั้งที่มีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ผู้รักษากฎหมายก็ปฏิบัติกับคนผิวขาวกับคนผิวดำต่างกันมาก ท่านผู้ชมครับ 191 ปีที่แล้ว มีการจลาจลที่เมืองซินซินแนติ สมัยรัชกาลที่ 4 เหตุผลเพราะผู้อพยพผิวดำเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็มีพวกคนเมืองผิวขาวออกมาไล่ฆ่าคนผิวดำ เรื่องก็เงียบไป ผ่านมาอีกสัก 30-40 ปี 154 ปีที่แล้ว มีการสังหารหมู่ที่เมืองเมมฟิส โดยการยิงตอบโต้กันระหว่างตำรวจและม็อบผิวขาวที่ยิงผิวดำ ซึ่งคนอเมริกาเชื้อสายแอฟริกัน เป็นทหารผ่านศึกในสงครามกลางเมือง แล้วก็ปรากฏว่ามีคนเสียชีวิต ผิวขาว 2 คน ส่วนคนผิวดำตาย 46 คน บาดเจ็บ 75 คน


มีอีกเยอะ แต่ที่โด่งดังจริงๆ ก็คือ 29 ปีที่แล้ว พ.ศ.2534 กรณีร็อดนีย์ คิง ร็อดนีย์ คิง เป็นคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ถูกตำรวจผิวขาวในเมืองลอสแองเจลิสรุมทำร้ายร่างกายเมื่อปี 1991 หลังจากถูกโบกให้จอดรถจักรยานยนต์ เนื่องจากขับรถเร็ว จนเป็นชนวนทำให้เกิดจลาจลในเมืองลอสแองเจลิส ทั้งเมืองเลย ร็อดนีย์ คิง ปี 1992 ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้ชมจะเห็นว่าเรื่องราวที่ผมเล่าให้ฟังมันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มันปกติมากที่คนผิวดำจะต้องถูกตำรวจผิวขาวทำร้าย ทำร้ายมาตลอด แล้วจนกระทั่งในที่สุดมีคนผิวดำชุดหนึ่งที่มีชื่อเสียงเริ่มมีแฮชแท็กว่าการฆ่าคนผิวดำนั้น ชีวิตคนผิวดำมีค่า แล้วก็ล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีคนผิวดำคนหนึ่งชื่อมาอุด อาร์เบรี (Maud Arbery) เหตุเกิดที่อำเภอกลิน มลรัฐจอร์เจีย


มาอุด อาร์เบรี ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา 25 ปี กำลังวิ่งอยู่หน้าบ้าน โดนพ่อ-ลูก 2 คน คนขาว สงสัยว่าเป็นโจร ก็เลยขับรถไล่ล่าแล้วก็ยิงจนตาย อัยการ ตำรวจไม่สนใจเลย ปล่อยให้พ่อลูกสองคนที่ยิงเป็นอิสระอยู่เกือบ 3 เดือน จนมีมือดีปล่อยคลิปที่แสดงให้เห็นการขับรถไล่ล่าพร้อมปืนยิงออกมาขึ้นเป็น viral พ่อลูกคู่นี้ก็เลยโดนจับเมื่อเดือนพฤษภาคม ทั้งๆ ที่ควรจะโดนจับตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ไม่โดน เห็นหรือยังท่านผู้ชม เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่าเรื่องราวต่างๆ แบบนี้มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิด ทีนี้มันมีที่มาที่ไป
คนผิวดำ ตามรัฐธรรมนูญไอ้กันแล้ว จะมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน และนี่ก็เป็นจุดหนึ่งซึ่งคนเอเชียหลายคนอยากไปอยู่อเมริกา ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริงพี่น้องที่อยู่อเมริกาหลายคนจะยอมรับความจริงกับผมว่า หลายคนบอกอเมริกาดี กฎหมายเป็นกฎหมาย แต่จริงๆ ลึกๆ แล้วท่านก็รู้ใช่ไหมว่ามีการรังเกียจเหยียดผิว
ท่านผู้ชมครับ ผมเรียนหนังสือที่อเมริกา ปริญญาตรี ปริญญาโท จนจบ และผมก็ทำงานอยู่ที่สำนักข่าว AP ที่เมืองเล็กๆ เป็นผู้สื่อข่าวกีฬาอยู่ประมาณ 8-9 ปี ผมรู้ดีว่าคนอเมริกันผิวขาวนั้นเป็นคนที่เหยียดผิว การเหยียดผิวนี่เหยียดได้ 2 ประเภท เหยียดด้วยการแสดงออก ประเภทพูดตรงๆ ว่านี่ไม่ใช่ที่ของคุณนะ คุณเข้ามาทำไม หรือประเภทแสดงอาการแต่ไม่พูด เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัด ผมเอาแค่คนผิวดำก่อน ยังไม่เอาคนผิวเหลือง หรือคนเอเชีย


คนผิวดำเป็นคนที่ด้อยโอกาสที่สุด การศึกษาก็ได้เข้าน้อยที่สุด ไปสมัครงาน จะได้หลังสุด โรงพยาบาล เนื่องจากว่าคนผิวดำไม่มีเงินก็เลยไม่สามารถจะเข้าโรงพยาบาลได้ ลำบาก โควิด-19 คนผิวดำตายมากที่สุด เวลาส่งทหารไปรบที่เวียดนาม ที่ต่างประเทศ ทหารผิวดำจะถูกส่งไปมากที่สุด แล้วก็ตาย คนที่ติดคุกอยู่ในอเมริกา 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นคนผิวดำทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว คนผิวดำเป็นยิ่งกว่าประชาชนชั้นที่ 2 ในสังคมอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว ความรู้สึกมันสะสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ มาถึงรุ่นลูก คนผิวดำที่ดังๆ ทุกวันนี้ก็ผ่านการเหยียดผิวมาตลอดเวลา พอเกิดเรื่องร็อดนีย์ คิง ขึ้นมาบ้าง พอเกิดเรื่องมาอุด ขึ้นมาบ้าง มันเหมือนฟาง ค่อยๆ วางไปทีละนิดๆๆๆ จนกระทั่งในที่สุดมาเกิดเรื่องของจอร์จ ฟลอยด์
จอร์จ ฟลอยด์ มีวิดีโอคลิปให้เห็นชัดเจน ว่าตำรวจผิวขาว และที่สำคัญตำรวจผิวขาวที่ฆ่าจอร์จ ฟลอยด์ นั้นคือผู้สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ ในงานชุมนุมของรีพับลิกัน หรือพวกแฟนทรัมป์ทั้งหลาย หมอนี่ใส่เสื้อแดง แล้วยืนข้างๆ แล้วทักทายกับทรัมป์ เสื้อนั้นเขียนว่า COPS FOR TRUMP คือตำรวจเพื่อประธานาธิบดีทรัมป์


เพราะฉะนั้นแล้ว ผมพูดไม่ผิด หัวหน้าการเหยียดผิวที่ใหญ่ที่สุดก็คือทรัมป์ เพราะว่าทรัมป์แสดงออกมาหลายครั้ง ทรัมป์ด่า Congress woman ที่เป็นคนผิวดำ ว่าทำไมคุณไม่กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของคุณ คุณมาทำไมที่นี่ ทรัมป์เป็นคนที่เหยียดผิวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วความอึดอัดใจที่ทรัมป์มีนโยบายเชิดชูคนผิวขาว และนโยบายส่งเสริมคนร่ำรวย ธุรกิจใหญ่ แต่ไปตัดงบประมาณของคนจน ตัดงบประมาณของโรงเรียน ตัดงบประมาณของอาหาร คนผิวดำมีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งแสตมป์อาหาร หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Food Stamp ทุกเดือนไม่มีงานทำก็จะไปรับ Food Stamp มา แล้วเดินเข้าห้างฯ ตลาด แล้วก็เอา Food Stamp ไปจ่าย เพื่อแลกกับอาหารมาทาน พวกนี้มีชีวิตอยู่ด้วย Food Stamp
แล้วคนที่เร่ร่อนจรจัดที่เขาเรียกว่า Homeless ท่านผู้ชมไปดูให้ดีๆ ส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ คนผิวขาวมีน้อยมาก เพราะฉะนั้นแล้วคนผิวดำกลายเป็นเศษมนุษย์ ทุกอย่างมันสะสมมา จนกระทั่งในที่สุด โอกาสก็ไม่มี ชีวิตก็ไม่มีอนาคต บ้านช่องที่อยู่ก็เป็นย่านสลัมที่เลวทรามมาก มีการค้ายาเสพติด แล้วมิหนำซ้ำพ่อค้ายาเสพติด ตำรวจก็ปกป้อง ตำรวจผิวขาวก็จับศัตรู จับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการค้ายาเสพติด โน่นนี่นั่น ลักษณะเป็นอย่างนี้ เป็นมานานแล้ว จนกระทั่งจอร์จ ฟลอยด์ ตายครั้งนี้ มันก็เลยเป็นฟางเส้นสุดท้าย เป็นฟางเส้นสุดท้ายจริงๆ ที่ทำให้อูฐหลังหัก
ท่านผู้ชมครับ ผมอยู่อเมริกามา 9 ปี ผมอ่านหนังสือมาเยอะ ผมเห็นการประท้วงมาเยอะ ท่านผู้ชมครับเชื่อผมเถอะ ไม่มีการจลาจลครั้งไหน สมัยนั้นการจลาจลที่เมืองลอสแองเจลิส กรณีร็อดนีย์ คิง ผมนึกว่าใหญ่แล้วนะ เผาเมือง LA คนไทยที่อยู่ใน LA ที่อยู่เก่าๆ ย่อมจำได้วันนั้น เหมือนสนามสงครามเลย แต่งวดนี้ท่านผู้ชมเชื่อไหม การประท้วงงวดนี้ดุเดือดมาก


ท่านผู้ชมพร้อมหรือยัง 50 รัฐ อเมริกามี 50 รัฐ ทุกรัฐมีการประท้วงหมด และทั้งหมด 140 กว่าเมือง ที่ประท้วง ไม่เคยมีมาก่อน มันอัดอั้นตันใจ และผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่อัดอั้นตันใจนะ มันเป็นการตอบสนองและตอบโต้นายทรัมป์ ตอบสนองและตอบโต้นายทรัมป์จริงๆ ก็คือว่าเขาไม่ชอบทรัมป์อยู่แล้ว เพราะว่านายทรัมป์เป็นหัวหน้าผิวสีขาวเหยียดผิว แล้วถ้าสมมุติว่าเป็นพวกขวาจัด พวกนีโอนาซี ทางใต้ของอเมริกาแล้ว ถ้าทำอะไรผิด นายทรัมป์ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นคนผิวดำทำอะไรผิดมันเล่นงานทันทีเลย
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า นี่คือความแค้น นี่คือความเจ็บใจที่มันย้อนรอยกลับไปเป็นร้อยกว่าปีมาแล้ว สะสมมาเรื่อยๆๆ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัด นายทรัมป์และคนอเมริกัน มีท่านสาธุคุณคนหนึ่งที่เขาเรียกว่า Reverent ที่อยู่ในโบสถ์อเมริกา ตอนที่ชาวฮ่องกงประท้วงรัฐบาลฮ่องกง คนหนุ่มคนสาวเผาตึก ทำร้ายผู้คน มีคนจีนคนหนึ่งยืนตอบโต้กับคนฮ่องกง ว่าคุณมาประท้วงทำไม นี่คือประเทศจีน ประเทศของผม เท่านั้นเองคน 30 คนรุมกระทืบหมอนี่มาจากแผ่นดินใหญ่ปางตาย เผาห้างสรรพสินค้า ปรากฏว่าสาธุคุณคนนี้บอกว่า เราต้องปรบมือให้พวก Freedom Fighter นักสู้เพื่อเสรีภาพ นี่เขาพูดถึงฮ่องกงนะ แต่พอมาถึงกรณีของจอร์จ ฟลอยด์ สาธุคุณคนเดียวกันนี้โพสต์ไป บอกว่านี่คือความรุนแรงที่ไม่น่าให้อภัย ไม่น่าให้เกิดขึ้น ท่านผู้ชม มันยิ่งกว่าสองมาตรฐาน มันชัดเจนว่าอาตี๋ อาหมวย ที่ฮ่องกงนั้นเป็นเบี้ยของฝรั่ง เพราะวัตถุประสงค์ก็คืออเมริกา อังกฤษ ต้องการให้พวกนี้ล้มรัฐบาลฮ่องกง คือถ้าเผาฮ่องกงได้ก็เผาไป โดยที่เชียร์ แล้วอเมริกายังทะลึ่งออกกฎหมายผ่านสภาคองเกรส ซึ่งกำลังจะเข้าสภา Senate เป็นมติ เป็นเอกฉันท์ ให้อเมริกามีอำนาจในการที่จะทำอะไรกับฮ่องกงก็ได้ในเรื่องสิทธิเสรีภาพหลายอย่าง ก็เท่ากับว่า ถ้าคุณไม่พอใจประเทศไหนที่ไม่ทำตามนโยบายของคุณ คุณก็สามารถที่จะออกกฎหมายมาครอบงำทันทีเลย ท่านผู้ชมเห็นหรือยังตอนนี้


ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง 50 มลรัฐ 140 กว่าเมือง ลุกฮือกันหมด ท่านผู้ชมคงเห็นคลิป คลิปเราคงเปิดไม่ได้เพราะเป็นเฟซบุ๊ก แต่เราจะเล่าให้ฟังว่าคนเดินขบวนกันเต็มไปหมดเลย ทุกเมือง ไม่เว้นกระทั่งวอชิงตัน ดี.ซี. ไม่เว้นแม้กระทั่งทำเนียบขาว ซึ่งมีคนประท้วงเข้าไป 400-500 คน เขาถึงนายทรัมป์ลงไปซ่อนอยู่ใต้ดิน เป็นประธานาธิบดีที่ไม่กล้าเผชิญความจริง ที่ไม่กล้ายอมรับว่าประเทศอเมริกานั้นมีการแบ่งชนชั้นจริง วุฒิภาวะผู้นำมันต้องออกมาเรียกร้องให้ผู้คนอยู่ในความสงบ แล้วบอกว่ารัฐบาลอเมริกา ในฐานะที่ผมเป็นประธานาธิบดี จะแก้ไขปัญหานี้ จะทำให้ช่องว่างระหว่างคนขาวกับคนดำลดน้อยลง และจะหาทางป้องกันไม่ให้ตำรวจทำร้ายคนดำอย่างไม่มีเหตุไม่มีผลอีกต่อไป นายทรัมป์ไม่ นอกจากไม่แล้ว มันยังบอกว่าเอาทหารเข้ามา พร้อมอาวุธเต็มมือ จัดการมันให้หมด ท่านผู้ชมเห็นความบ้าของมันหรือยัง แล้วท่านผู้ชมที่เป็นติ่งอเมริกา ให้รู้ด้วยว่า ประเทศอเมริกาที่คุณเป็นติ่งนั้น คุณดูจากหนังใช่ไหม แรมโบ้ใช่ไหม คุณดูจากหนัง The Expendables ใช่ไหม คุณพอใจใช่ไหมที่สตาร์โลนเอย อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนเกอร์ เอย ใครต่อใครที่ถือปืนกลแล้วไล่ยิงคนผิวเหลือง คนผิวดำ หรือคนเม็กซิกันตาย ยังไม่พอ


ตั้งแต่มีโควิด-19 คนเอเชียโดนหมด ถึงจะเป็นคนเอเชียที่เกิดในอเมริกา หมอคนจีน ลูซิล ลี เกิดในอเมริกา จบหมอที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังโดนดูถูกเหยียดหยาม ดูถูกว่า Why don't you go back to your country? ทำไมถึงไม่กลับไปบ้านเธอ ถึงขนาดบางคนซึ่งเป็นคนอินโดนีเซีย แต่เป็นคนเอเชีย หน้าเป็นเอเชีย เป็นพยาบาล ปรากฏว่ามีคน 2 คน มารักษาตัว พอเห็นเป็นคนเอเชีย มันเดินออกจากโรงพยาบาลเลย มันไม่ยอมรักษาตัว
เห็นหรือยังท่านผู้ชม พวกเรานี่นะ ไม่ได้ต่างจากคนผิวดำมากมายนักหรอก เขาก็รังเกียจพวกเรา เพราะฉะนั้นโลกในอนาคต ภูมิรัฐศาสตร์จะเปลี่ยนไป เส้นแบ่งจะเริ่มเปลี่ยนไป เชื่อผมสิ ถามผมว่าอยากไปอเมริกาไหม ผมไม่อยากไป ไม่ใช่ว่าผมไปไม่ได้ ผมก็มีวีซ่าเหลืออยู่ แต่ผมไม่ต้องการไป เพราะผมรู้จักอเมริกาดีพอ ผมรู้จักอเมริกาดีมากๆ กว่าพวกคุณที่ติ่งอเมริกาแล้วเที่ยวมาหาว่าผมเป็นติ่งจีน แล้วด่าอเมริกา อเมริกามันสมควรโดนด่าท่านผู้ชม และผมจะบอกให้รู้ ถ้าทรัมป์ไม่อยู่ แล้วคนอื่นขึ้นมาแทน ไบเดนขึ้นมาแทน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงแต่รูปแบบ รูปแบบจะไม่ก้าวร้าว แต่ว่าลึกๆ แล้วก็ยังคงเหยียดผิวอยู่เช่นเดิม


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ถือว่าเป็นวันของการไลฟ์ออกมาเป็นพิเศษ ท่านผู้ชมอย่าได้คืบเอาศอกนะ ให้ผมออกมาอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง มันเหนื่อย แต่ผมจะพิจารณาดูว่าบางครั้ง ท่านผู้ชมที่ดูรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิจะค่อนข้างชอบเรื่องข่าวต่างประเทศมาก ไม่แน่ผมอาจจะเพิ่มอีกวันหนึ่ง โดยเน้นเรื่องข่าวต่างประเทศ และเน้นเรื่องข่าวสดๆ ที่เกิดขึ้นใน 2-3 วันนี้ เพื่ออธิบายความ แต่จะไม่ยาว ท่านผู้ชมเวลาเข้าไปในเฟซบุ๊กเรา ให้กด See First แล้วก็ติดตามเอาไว้ แล้วท่านก็จะได้รับ วันนี้เราไลฟ์สดประมาณทุ่มกว่าๆ ท่านผู้ชมคงทานข้าวกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถือว่าเป็นอาหารสมองได้ฟังก่อนนอนก็แล้วกัน แล้วเรามาเจออาหารมื้อหลักในวันศุกร์นี้ก็แล้วกันนะครับ วันนี้เอาแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ

Let's block ads! (Why?)



"พิเศษ" - Google News
June 03, 2020 at 11:57AM
https://ift.tt/36XejxA

[คำต่อคำ] SONDHI TALK ตอนพิเศษ : จอร์จ ฟลอยด์ เอฟเฟกต์ ความรุนแรงกับคนผิวสีในอเมริกา - ผู้จัดการออนไลน์
"พิเศษ" - Google News
https://ift.tt/2SQyCqt
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/3dm7zLA

Bagikan Berita Ini

0 Response to "[คำต่อคำ] SONDHI TALK ตอนพิเศษ : จอร์จ ฟลอยด์ เอฟเฟกต์ ความรุนแรงกับคนผิวสีในอเมริกา - ผู้จัดการออนไลน์"

Post a Comment

Powered by Blogger.