Search

ราชดำเนินใน 'วรรณกรรม' วิถีสามัญชน บนความเปลี่ยนแปลง - มติชน

biasa.prelol.com
“หนุ่มสาวขี่เวสป้าไปเต้นทวิสต์” ภาพราวปี 2506 ในสารคดีของผู้กำกับชาวเยอรมัน สะท้อนชีวิตของชนชั้นกลางและความทันสมัย ใน “ยุคเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจ” [ภาพจาก หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)]

ถนนราชดำเนินวันนี้ มีผู้คนหลากหลายวัยหลั่งไหลมาร่วมกู่ก้องร้องหาประชาธิปไตยอย่างไม่ลดละ

ไม่ว่าจะ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์ที่ “กลุ่มเยาวชนปลดแอก” (FreeYouth) จับมือ “สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย” พามวลชนคนหนุ่มสาวลงถนน ไม่ทนอีกต่อไป

ยื่นคำขาด หนึ่ง เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศ “ยุบสภา” สอง “หยุดคุกคามประชาชน” ในการทำกิจกรรม สาม “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” หวังขจัดต้นตอปัญหา ขอเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประเทศ ถอนรากโคนเผด็จการให้พินาศ สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในยุคสมัยของพวกเขา

ให้เรื่องเลวร้ายทั้งหมด #จบในรุ่นของเรา

3 ข้อเสนอ 3 นิ้วที่ชู เหล่านี้ คือฉันทามติที่ถูกจุดติดและส่งต่อจากปลายไม้ขีดไฟ ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปยังทุกภาคส่วนของประเทศ โดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นยานพาหนะ

ท่ามกลาง “ถนนสายประชาธิปไตย” ที่หลายสาขาอาชีพมาร่วมแสดงเจตจำนงโดยใช้ดนตรี และ วลี ขับเคลื่อนอุดมการณ์ต่อต้านเผด็จการ

ไม่เว้นแม้แต่แวดวงน้ำหมึก อย่าง “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ก็ยังร่วมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “Solidality with the Free Youth Movement of Thailand” อันมีความหมายว่า ขอยืนเคียงข้างการเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชน

น่าแปลกใจ ในขณะเดียวกันกลับมีอีกหลายชีวิตที่ทำให้ชื่อ ‘ซีไรต์’ มัวหมองด้วยมุมมองที่ย้อนแย้งกับความเห็นของคนส่วนใหญ่ ด้วยการมีแนวคิดที่ว่า การเคลื่อนไหวนี้เป็นเพียง “ม็อบมุ้งมิ้ง” ที่ออกมาดิ้นเท่านั้น

ซึ่งก็น่าจับตา เพราะม็อบมุ้งมิ้งครั้งนี้จะมีลูก 3 พระจอมมาเป็นการ์ด คอยพิทักษ์เม็ดทรายที่มาถมกายปูทางสายใหม่ให้มวลชนคนรุ่นหลัง

น้ำท่วมถนนราชดำเนิน ปี 2485 ประชาชนนั่งเรือ บางคนเดินลุยน้ำ ที่สี่แยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเรือจอแจ หนุ่มสาวเล่นเรือ สุนัขว่ายน้ำ ส.ส.พายเรือมาประชุม

คือ ถนนเส้นที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ในหลากหลายความหมาย

121 ปี ของถนนราชดำเนิน มีอะไรเกิดขึ้นมากมาย แต่หลายปีมานี้เห็นการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะชีวิตคนสามัญธรรมดาขนาบสองข้างถนน ซึ่งไม่ค่อยถูกพูดถึง

“มิวเซียม สยาม” จึงชวนจดจำรำลึก ผ่าน ล่อง รอยราชดำเนิน : นิทรรศการผสานวัย ที่จะพาล่องเข้าไปในรอยความทรงจำของคนที่แตกต่าง ในหลากเจเนอเรชั่น ระหว่างวันที่ 30 เมษายน-7 กันยายนนี้

บาหยัน อิ่มสำราญ อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ รั้วศิลปากร คือผู้รับหน้าที่เป็น “ภัณฑารักษ์วัยเก๋า” ร่วมบอกเล่าความทรงจำของถนนราชดำเนินผ่านมุมวรรณกรรม

ทั้งยังร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนตัว ผ่านเสวนา “ถนนราชดำเนิน ในวรรณกรรม กลางเลนส์ นอกประวัติศาสตร์ไทย” เมื่อไม่นานมานี้

บาหยัน บอกเล่าว่า ตนรู้จักราชดำเนินจากลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเดินทางกลับมาบ้านพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 แล้วได้เก็บเอาลูกกระสุนของรถถังในเหตุการณ์วันนั้นมาด้วย

“รถเมล์ขาว-รถเมล์เขียว และ ตึกเก่าย่านราชดำเนิน ซึ่งเคยเป็นที่ถกเถียงกันเรื่องสีตึกว่า “ครีม หรือ ขาวเข้ม” โดยหนังบ้าน ของ “สุพจน์ ธวัชชัยนันทร์” ทำให้เห็นว่า มีหลายสี ไม่ได้มีสีเดียว

โดย ปี 2517 ตนได้เข้ามาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ อาศัยแผงขายหนังสือสนามหลวง หาข้อสอบเก่ามาติวด้วยตัวเองให้ทันกับเพื่อนที่เรียนพิเศษ ได้ไปเที่ยวตลาดนัดสนามหลวงในช่วงรอยต่อที่กำลังจะย้ายไปจตุจักร

เมื่อโตขึ้นเข้ามหาวิทยาลัยก็รับรู้ราชดำเนินผ่านการเมือง ทุกครั้งที่มีการชุมนุมใหญ่ มักจะมีการชุมนุมที่ท้องสนามหลวง วันแรงงานจะมีริ้วขบวนเดินจากราชดำเนินไปยังท้องสนามหลวง เป็นวันที่คึกคักมาก

อีกทั้งยังได้เข้าร่วมเหตุการณ์พฤษภา 35 ไปอยู่บริเวณลานพลับพลาเจษฎาบดินทร์ หลบลูกกระสุนปืน ในเช้าวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 พร้อมกับ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

“เวลาที่เราพูดถึงราชดำเนินระยะหลัง จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ จะเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราได้เห็นการรวมกลุ่มชุมนุม ได้เห็นสัญลักษณ์อย่างอนุสาวรีย์

ในรายละเอียดของชีวิตคนสามัญ ก็ถูกบันทึกด้วยตัวอักษรผ่านจินตภาพของนักเขียนสตรี อย่าง สุวรรณี สุคนธา เจ้าของผลงานงาน เขาชื่อกานต์, ทองประกายแสด, อีพริ้งคนเริงเมือง, น้ำพุ ซึ่งในยุคนั้นมีไม่กี่คนที่จะมานั่งเขียนชีวิตของคนธรรมดาอย่างเจาะลึก

อ.บาหยันจึงขอแนะนำหนังสือ 2 เล่มจบ เป็นเรื่องสั้นที่มีชื่อว่า ถนนสายรมณีย์ ซึ่งมีราชดำเนินเป็นฉากหลัง ในยุคที่ก่อนอาคาร-บ้านไม้จะกลายเป็นตึก

หนังสือ “ถนนสายรมณีย์” โดย สุวรรณี สุคนธา

แม้ไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่ากับเล่มอื่นๆ ไม่เคยถูกทำเป็นละคร หรือภาพยนตร์ หากแต่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สามัญชนอย่างยิ่ง

“ปกติเวลาเราพูดถึงราชดำเนินมักจะโฟกัสไปที่การเมือง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และในฐานะพื้นที่สาธารณะสำหรับเฉลิมฉลอง จัดงานพระราชพิธี สำหรับคนสัญจรไปมา จะเห็นความยิ่งใหญ่ของถนนสายนี้ แต่กลับพบว่าสิ่งที่ขาดหายไป คือชีวิตคนที่อาศัยอยู่สองฟากฝั่ง เราไม่รู้ว่าเบื้องหลังของอาคารที่ใหญ่โตนั้นมีใครอาศัยอยู่บ้าง และคนเหล่านั้นมาจากไหน มีชีวิตอย่างไร ปริศนาเหล่านี้ สุวรรณีได้ช่วยทำให้เราเข้าถึงและตามร่องรอยนี้ได้”

บาหยันเล่าว่า ส่วนตัวเมื่อได้อ่าน “ถนนสายรมณีย์” และลองเดินไปตามถนนราชดำเนิน ก็พบว่ายังมีร่องรอยของคฤหาสน์และบ้านเก่า ขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของบ้านเล็ก ชุมชนน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ บางบ้านร้าง บางบ้านรีโนเวตเป็นภัตตาคารหรือคาเฟ่ย้อนยุค เช่น บ้านขนมปังขิง บ้านวรรณโกวิท หรือ บ้านยาหอม เป็นบ้านของผู้ดี-ขุนนางเก่า

“ถนนสายรมณีย์ ได้บันทึกชีวิตของขุนนางเก่าเหล่านี้ในช่วงเวลาหลัง 2475-2500 ขณะเดียวกันจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมผ่านตัวละครในเรื่อง

บาหยัน อิ่มสำราญ

“นวนิยายเรื่องนี้คล้ายเรื่อง ‘หลายชีวิต’ ของคึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นการเอาชีวิตของคนธรรมดามารวมๆ กัน ผ่านสายตาของ แขก หรือ ‘ตะวัน’ ซึ่งค้นดู ก็น่าจะเป็นสามีของสุวรรณี ชื่อ ศิริสวัสดิ์ พันธุมสุต เป็นผู้ให้ข้อมูล น่าจะมีชีวิตอยู่บนถนนราชดำเนินตั้งแต่เด็กจนเจริญวัย ผูกพันกับท้องถิ่นนี้มาเป็นเวลายาวนาน โดยสุวรรณีใช้สำนวน ลีลาภาษาที่ได้รับการยกย่องว่าพลิ้วไหว ฉายให้เห็นภาพในจินตนาการอย่างกระจ่าง นำเรื่องราวของหลายชีวิตมาผูกได้อย่างมีรสชาติ” บาหยันเล่า

ก่อนจะหยิบยกบางตัวละครในเรื่องมาพูดถึง ซึ่งทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าสังคมในยุคนั้นมีความแปรเปลี่ยนไปอย่างไร

เริ่มที่ รำเพย ลูกเมียน้อยที่เป็นคนใช้อยู่ในบ้านคุณพระ ช่วงที่มีสถานะตกต่ำจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่ระบบรัฐศักดินาแบบเดิมเริ่มสิ้นสุดลงไป และเข้าสู่ระบบใหม่

แม้รำเพยจะได้เรียนหนังสือ แต่ถูกเลี้ยงอย่างทิ้งขว้าง ชีวิตของรำเพย จึงเรียนรู้อะไรโดยใช้ร่างกายของตัวเองเข้าสัมผัส

“ในที่สุดเรียนไม่จบ หนีตามผู้ชาย สุดท้ายกลับมาที่บ้านเช่าหลังถนนราชดำเนิน ไม่ได้ทำการงานอะไร นอกจากนั่งหยัดแขนอยู่บนระเบียงและคอยมองผู้ชายที่ผ่านไปผ่านมา ชีวิตรำเพยอธิบายได้ถึง ‘สถานะทางสังคมที่เปลี่ยนไป’

คุณหลวงที่มีลูกจำนวนมาก ไม่สามารถมีทรัพย์สิน มรดกเพียงพอจะเลี้ยงลูกตนเองให้เติบโตก้าวหน้าได้ดีเท่าที่ควร ลูกที่เกิดเมื่อยามชราแล้วจะถูกเลี้ยงอย่างทิ้งขว้าง ไม่ได้รับการอบรมดูแล ต้องใช้สิ่งที่มีอยู่ อย่างร่างกายของตนเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์รอบตัว

“ชีวิตของรำเพยชี้ให้เห็นถึงความตกต่ำของสังคมหลังปี 2475 ที่ชนชั้นสูงถูกลดสถานะลง ขณะเดียวกันก็มีเรื่องของชนชั้นอื่นๆ ให้เห็นด้วย”

ภาพราวปี 2506 จากหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)]

เช่น ตัวละคร ครูอรชุมา เป็นครูของแขก (ผู้เล่าเรื่อง) สอนหนังสืออยู่ ร.ร.วัดราชนัดดา เช่าบ้านอยู่หลังห้างไทยนิยม มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งแขกหลงรักอย่างมาก

แต่ครูผู้นี้ไปรักกับครูพละที่มีคำหวานและหน้าตาอันหล่อเหลา ซึ่งครูพละกลับไปหลงรักคุณครูคนใหม่ ชื่อ ‘ครูพิมพา’ เป็นครูวาดเขียนที่สวยเก๋ ส่วนครูอรชุมาสวยน่ารักแบบเรียบร้อย

ปรากฏว่า ความสวยเก๋สามารถเอาชนะความสวยแบบจารีตไทยโบราณได้ ครูพละเปลี่ยนใจไปรักและแต่งงานกับครูพิมพา ครูอรชุมาก็ไปผูกคอตายบริเวณภูเขาทอง ซึ่งเดิมเป็นป่ารกร้างโดยทิ้งจดหมายไว้ว่า ขอตายเพราะผิดหวังกับความรัก และขอเอาลูกที่ติดท้องตามไปด้วย

ชีวิตต่อมา คือ ยายวอน ซึ่ง อ.บาหยันเล่าว่า เป็น “ศิลปินดองผักเสี้ยน” เพราะอยากดองก็ดอง ไม่อยากดองก็ไม่ดอง อาศัยศาลาวัดราชนัดดาอยู่ แต่มีฝีมือดองผักเสี้ยนอย่างมากขนาดได้รับยกย่องว่าดองแบบชาววัง

แต่เมื่อคนย้ายถิ่นมาย่านราชดำเนินมากขึ้น ยายวอนอยู่ศาลาวัดที่ไม่มีรั้วรอบขอบชิดจึงถูกขโมยเข้าไปกระชากสร้อย ก็ต่อสู้และกำล็อกเกตไว้ในมือ สุดท้ายถูกฆ่าตาย

เมื่อเปิดล็อกเกตก็เห็นภาพถ่าย หญิงชาววัง ที่เคยมีอดีตอันหวานหอม สดใสรุ่งโรจน์ ใส่สร้อยไข่มุกยาว สวมแหวนเพชร ตรงกับตอนที่เมาเหล้าแล้วพลั้งเผลอเล่าว่าเป็นชาววัง มีผู้ชายมารุมจีบ

อ.บาหยันเล่าต่อไปว่า ส่วนเรื่องดีๆ ก็มี อย่าง หนุ่มอีสาน ชื่อว่า “ใส”

ในเวลานั้น ก่อนปี 2500 อีสานแล้ง เมืองเติบโต คนจึงอพยพเข้าเมือง

ภาพจากหนังบ้าน ของ “สุพจน์ ธวัชชัยนันทร์”

“ใส” มีอาชีพขี่สามล้อ โดยเช่าจากบ้านของแขก ซึ่งเป็นผู้ดีเก่าที่ปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้ แม้พ่อของแขกจะไม่ได้รับราชการแล้ว แต่ก็ยังปลูกบ้านให้คนเช่า มีสามล้อให้คนอีสานมาเช่าขี่

นายใสเป็นคนหนึ่งที่เก็บหอมรอมริบ แต่มีเงินจำนวนมากซ่อนอยู่ใต้เบาะ วันหนึ่งเขาเอาเงินไปขอซื้อสามล้อเก่ามาเป็นต้นทุนสำหรับการทำอาชีพ จนเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ จากขี่สามล้อ ก็ไปขับแท็กซี่เหลือง มีรถแท็กซี่ให้คนอื่นเช่า และก้าวไปสู่การเป็นนักธุรกิจอีกหลายสาขา

“เรื่องนี้จบลงท้ายด้วยข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ ตีพิมพ์ว่า นักศึกษาสาวสวยจากสหรัฐได้ตัดสินใจสละโสดกับพ่อเลี้ยงหนุ่มชาวอีสาน ชื่อ คำใส ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจหลายสาขา

ทำให้เห็นว่า สังคมหลัง 2475 เปิดโอกาส มีช่องให้คนได้เลื่อนระดับชั้นในสังคม ในขณะเดียวกันก็ลดโอกาสของชนชั้นสูง ให้มีความยากลำบาก

แม้สุวรรณีไม่ได้เขียนโดยตรง แต่เมื่ออ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม จะสัมผัสได้ถึงชีวิตของผู้คนที่เข้านอกออกในราชดำเนินมาโดยตลอด จากเป็นที่พักพิงชั่วคราวเพราะบ้านตนเองเกิดไฟไหม้หรือถูกไล่ที่ ก็กลายเป็นชุมชนขนาดเล็ก

ในขณะที่คฤหาสน์ใหญ่ ผู้ดีในราชดำเนินก็ทนความแออัดไม่ได้ จึงอพยพไปอยู่ฝั่งธนบุรี ทิ้งบ้านไว้เป็นบ้านเช่าบ้าง เก่ารกร้างบ้าง ซึ่งอธิบายอย่างชัดเจนและมีชีวิตชีวา” อ.บาหยันระบุ

“ราชดำเนินคือถนนที่คนจะมามุงดูความบันเทิง” พ.ศ.2525 ฉลองกรุงครบ 200 ปี “โรงหนังเฉลิมไทย” ฉายหนังเรื่อง “เฮง 200 ปี” มีโชว์รถโบราณและขบวนต่างๆ ประชาชนมายืนรอดูและถ่ายรูป

คือวรรณกรรมกรชั้นดี ที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงของสังคม

“อธิบายความไม่หยุดนิ่งของผู้คนบนถนนราชดำเนินที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ไม่เคยเอะอะ หรือกระโตกกระตากให้ใครรับรู้ แต่สุวรรณีรับรู้และเขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ในหนังสือ

เป็นแหล่งข้อมูลที่บันทึกชีวิตของผู้คนยุคหลัง 2475-2506 เอาไว้อย่างมีชีวิตชีวาและมีสีสันอย่างมาก”

เมื่อได้รับอาสาเป็นภัณฑารักษ์วัยเก๋า อ.บาหยัน จึงถือโอกาสเอาหนังสือเล่มนี้มาทำเป็นนิทรรศการ ผสานวัย โดยร่วมกับลูกสาวอายุ 17 ปี วาดภาพผ่านสื่อสมัยใหม่ แสดงภูมิทัศน์ของราชดำเนิน และใส่ข้อมูลชีวิตของผู้คนต่างๆ เป็นคิวอาร์โค้ด ซ่อนไว้ตามซอกตึก จุดต่างๆ เป็นเรื่องย่อเพื่อเผยแพร่ชีวิตของคนสามัญบนถนนราชดำเนิน

“ตึกเก่าย่านราชดำเนินในปัจจุบัน” สุวรรณี สุคนธา สะท้อนชีวิตที่ยากที่จะนึกได้ ผ่านตัวละคร “ละเมียด” แม่ค้าขายกล้วยปิ้ง ที่อาศัยอยู่ในมุ้งเก่าๆ ระหว่างซอกตึกใหญ่เพื่อนอนหลับคลายความเมื่อยล้าในเวลากลางคืน ซึ่งบนอาคารเป็นโรงเรียนสอนเต้นรำและที่อยู่อาศัยของคนมีสตางค์ ละเมียดถูกลักหลับจนท้อง มีลูกถึง 5 คน

อ.บาหยัน ยังเล่าอีกว่า สุวรรณีจบท้ายด้วยตัวละครเอก ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อปี 2500 ว่า

“อนุสาวรีย์สร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลอง ยืนแจ่มใสอยู่ในแดดรอน หลังยุคฉลอง 200 ปี เขาขึ้นไปยืนขัดและทาสีเสียใหม่ ก็ไม่สวย มันเป็นอนุสาวรีย์ที่ไม่เคยสวยมาแต่ไหนแต่ไร แต่มันก็เป็นของคู่บ้านคู่เมือง

และเมื่อผมมองดูทำให้นึกถึง ชาดา เธอเคยถามผมว่า

เขามีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกันทำไม ในเมื่อเรายังเป็นประชาธิปไตยกันอยู่นี่คะ

คล้ายกับความเห็นของกลุ่มนักศึกษา ที่ว่า “ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยการจัดสวนให้สวยสดจนต้องไปยืนชมความงดงาม”

ท่ามกลางการรื้อสร้างความหมาย ก็ได้มีการปักหมุดหมายใหม่ลงบนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกครั้ง

ส่วนหนึ่งในนิทรรศการ “ล่อง รอยราชดำเนิน : นิทรรศการผสานวัย” (ภาพจาก ข่าวสดอิงลิช)

Let's block ads! (Why?)



"สามัญ" - Google News
July 24, 2020 at 01:00PM
https://ift.tt/30LpI0q

ราชดำเนินใน 'วรรณกรรม' วิถีสามัญชน บนความเปลี่ยนแปลง - มติชน
"สามัญ" - Google News
https://ift.tt/3fKFLCA
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/3dm7zLA

Bagikan Berita Ini

0 Response to "ราชดำเนินใน 'วรรณกรรม' วิถีสามัญชน บนความเปลี่ยนแปลง - มติชน"

Post a Comment

Powered by Blogger.